รายงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 10 ข่าวเด่นวงการทีวี ปี 2561 อันดับที่ 8 จัดอันดับโดยทีมงาน ‘ยามเฝ้าจอ’
เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ด้วยรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย นักเล่นที่มากความสามารถทำให้ประเทศฝรั่งเศสได้แชมป์ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนี้ไปครอบครอง
แต่กว่าคนไทยจะได้รับชมฟุตบอลโลกเส้นทางการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดนั้นไม่ได้เรียบง่ายมากนัก
เพราะกฏ Must have ของ กสทช. ที่ระบุไว้ว่า รายการทีวีที่สำคัญ ได้แก่ ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชี่ยนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก สามารถออกอากาศในระบบฟรีทีวีได้
ทำให้ภาคเอกชนไม่กล้าที่จะลงทุนกับการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในครั้งนี
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการ โอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ จึงได้เสนอแนวทางในลงขันกับภาคเอกชนเพื่อซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกซึ่งมีราคาสูงถึง 1,300 – 1,500 ล้านบาทมาฉายให้คนไทยได้รับชม
ซึ่งท้ายที่สุดก็ได้ 9 บริษัท ประกอบไปด้วย
- บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด
- บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
- บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
- บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
- บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด
การออกอากาศฟุตบอลโลกในประเทศไทย มีการออกอากาศในระบบฟรีทีวีถึง 3 ช่องได้แก่ 5HD, True4You และ Amarin TV โดยถ่ายทอดสดพิธีเปิดพร้อมกันทุกช่อง หลังจากนั้นการแข่งขันแต่ละแมตซ์จะเป็นการสลับช่องกันไปเรื่อย ๆ แทน
ส่วนระบบทีวีบอกรับสมาชิกจะมีการถ่ายทอดสดที่ช่อง True Sport 3HD ซึ่งหากใครมีการสมัครแพ็คเกจแบบ 4K ไว้ ก็จะสามารถรับชมฟุตบอลโลกได้ในระดับความคมชัดสูงที่สุด
แก้ไขและเรียบเรียงเพิ่มเติมโดย Jenpasit Puprasert