กมธ.ศึกษาธุรกิจกองทัพ กังวลสถานะ ททบ.5 ไม่ได้เป็นทั้งนิติบุคคลและส่วนราชการ พบขาดทุนต่อเนื่อง 6 ปี อาจเป็นภาระทางการคลังในอนาคต แนะดึงผู้เชี่ยวชาญมาบริหาร กำหนดสัดส่วนเวลาสำหรับเนื้อหาด้านความมั่นคง-ทำกำไรไปพร้อมกันได้
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจต่างๆ ของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความเห็นแก่ผู้สื่อข่าวหลังจากการประชุมครั้งที่ 4 แล้วเสร็จ โดยพิจารณ์กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกที่มีการพิจารณาธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากคลื่นโทรทัศน์วิทยุ ได้มีการเชิญสถานีวิทยุกองทัพบก (ททบ.5) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสมาคมภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
พิจารณ์เผยว่า ธุรกิจในส่วนของวิทยุยังไม่ได้มีการพูดคุย แต่การประชุมนัดนี้ เริ่มพูดคุยในส่วนของโทรทัศน์ก่อนเป็นอันดับแรก หลังการพูดคุย ตนยังคงมีข้อสงสัยว่า ททบ.5 มีสถานะทางกฎหมายเป็นอะไรกันแน่ โดยเข้าใจว่าไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ส่วนราชการ ทางด้านผู้ชี้แจงกล่าวว่ามีลักษณะเป็นหน่วยงานรัฐ โดยอ้างคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้ตนสรุปได้ว่า ที่ผ่านมา สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง5 หรือ ททบ.5 ไม่ได้มีกฎหมายรองรับสถานะของตนเอง
จากนั้น พิจารณ์ ได้กล่าวต่อไปว่า หาก ททบ. 5 เป็นหน่วยงานของรัฐภายใต้กองทัพบก ก็มีสิ่งที่สถานีต้องปรับปรุงให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น การใช้พื้นที่ราชพัสดุย่านสนามเป้า 11 ไร่ ต้องทำสัญญาเช้ากับกรมธนารักษ์ ไม่สามารถอ้างว่าใช้ในราชการได้ เพราะ ททบ.5 ไม่ได้เป็นส่วนราชการ กล่าวคือต้องมีการทำสัญญากับกรมธนารักษ์เพื่อขอใช้พื้นที่ และหากเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้กองทัพบก หมายความว่า รายได้ ทรัพย์สิน หนี้สิน ของสถานี ต้องถูกผนวกเข้ากับงบการเงินของกองทัพบกด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฏสิ่งเหล่านี้ และที่สร้างความสับสนจนถึงปัจจุบัน คือผู้แทนจาก สตง. ที่ร่วมประชุมในวันนี้ กล่าวว่าไม่ได้มีการตรวจสอบบัญชีงบการเงินของสถานีมาก่อน จะเริ่มทำการตรวจสอบอย่างจริงจังในรอบบัญชีของปี 2566 แม้ทางผู้ชี้แจงฝั่ง ททบ.5 จะกล่าวว่าเคยมีการตรวจสอบแล้ว1ครั้งในปี 2542
นอกจาก ททบ.5 ก็ยังมีหน่วยงานที่ทาง กมธ. ได้เชิญมาเข้าประชุม ได้แก่ สตง. กสทช. และสมาคมภาคเอกชนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับทีวีดิจิทัล หลังจากสอบถามสถานการณ์การทำธุรกิจวิทยุโทรทัศน์ในปัจจุบัน ทำให้ทราบว่าธุรกิจทีวีดิจิทัลมีการแข่งขันสูงและเป็นช่วงขาลง สืบเนื่องจาก Technology Disruption และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งแม้แต่มืออาชีพยังยอมรับว่าการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างยาก
ขณะเดียวกันในปี 2560 ททบ.5 มีกำไร 180 ล้านบาท แต่ระหว่างปี 2561-2566 มีการรายงานว่าขาดทุน แต่ไม่ได้รายงานว่าขาดทุนเท่าไร ตนจึงกังวล แม้ว่า ททบ.5 จะดำเนินธุรกิจเป็นทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคง แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ แม้ ททบ.5 มีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับดูแลตัวเองได้ เพราะไม่เคยของบประมาณแผ่นดินมาก่อน แต่หากไม่นำมืออาชีพมาบริหารและปรับปรุงโครงสร้างภายในให้กลับมามีกำไรในอนาคต ก็อาจจะส่งผลให้เป็นภาระงบประมาณต่อรัฐบาลในอนาคตได้
โดยสรุป พิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตว่าหาก ททบ.5 มีความจำเป็นที่จะต้องมีสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อสื่อสารด้านความมั่นคง ก็อาจพิจารณาแบ่งผังเวลาที่เป็นในเชิงธุรกิจ โอนออกมาให้มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับสถานี และกันผังเวลาสำหรับออกอากาศส่วนของความมั่นคง และจัดสรรงบประมาณเพื่อส่วนดังกล่าว ขณะที่ส่วนที่เหลือให้เอกชนมาบริหาร เพื่อให้ธุรกิจสามารถทำกำไรและไม่ให้เกิดภาระกับงบประมาณอผ่นดินในอนาคต
นอกจากนี้พิจารณ์ได้ทิ้งท้ายว่า จากการประชุมวันนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากยังไม่เห็นงบการเงินของสถานี ตนจึงรอตรวจสอบเพื่อจะได้เห็นปัญหา หนี้สิน ลูกหนี้ และรายละเอียดอื่นๆ ต่อไป